อันที่จริงแล้วการดูแลรักษาสุขภาพสายตา เริ่มต้นจากการใช้สายตาอย่างถูกต้องเหมาะสม การป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตา ซึ่งจักษุแพทย์มักจะแบ่งออกเป็นตามช่วงอายุ โดยจะกล่าวถึงโรคตาที่พบบ่อยในแต่ละช่วงอายุนั้น ซึ่งการแพทย์จะแบ่งง่าย ๆ เป็น 3 ช่วงอายุดังนี้
1. ในวัยเด็ก เริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก (ก่อนวัยเรียน) และเด็กโตอายุไม่เกิน 10 ขวบ พ่อแม่ควรให้ความสำคัญในการสังเกตดวงตาของลูกว่ามีภาวะตาเขหรือไม่ มีการมองเห็นปกติหรือไม่ ซึ่งเด็กมักจะไม่บอกเราว่าตามัวหรือมองเห็นไม่ชัด อาจมีพฤติกรรมการไม่จ้องหน้าแทน เป็นการบ่งบอกว่าการมองเห็น ไม่ดี หรืออาจมีพฤติกรรมเพื่อพยายามปรับตัวให้มองเห็นชัดขึ้น เช่น การหรี่ตา การเอียงหน้าเอียงศีรษะ ในเด็กวัยเรียนหากมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข เพราะนอกจากจะมีผลโดยตรงกับการเรียนแล้ว ในวัยนี้ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการรักษาภาวะตาขี้เกียจจากสาเหตุต่าง ๆ ของเด็กได้อีกด้วย
ความผิดปกติทางสายตาของเด็กควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาทิเช่น การพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจกล้ามเนื้อตา วัดสายตา และแก้ไขด้วยการสวมแว่นสายตาหรือผ่าตัดกล้ามเนื้อตา ในเด็กโตขึ้นมา ควรระวังภัยอันตรายที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงในบ้าน อาทิเช่น นก-ไก่จิกตา การถูกกัดและข่วนโดยสุนัขหรือแมวและสัตว์อื่น ๆ ที่เลี้ยงไว้ในบ้านหรือที่โรงเรียน
2. วัยรุ่นและวัยทำงาน ก็ยังจำเป็นต้องใช้สายตา ปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นที่มีปัญหาทางด้านสายตามักจะใส่คอนแทคเลนส์ ควรเอาใจใส่ในการรักษาความสะอาด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดปัญหาการติดเชื้อหรือการอักเสบอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการสูญเสียดวงตาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคเลนส์นอน และไม่ใส่คอนแทคเลนส์เล่นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก แม้น้ำลำคลอง ทะเล หรือสระว่ายน้ำ สิ่งสำคัญอีกประการคือ ในวัยนี้เป็นวัยที่มีความเสี่ยงกับอุบัติเหตุจากการทำงานได้สูง การป้องกันอันตรายและอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับดวงตามีหลายวิธี โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การสวมแว่นป้องกันเมื่อทำงานที่เสี่ยงกับวัตถุสิ่งแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น การตอกตะปู การเคาะเหล็ก เจียเหล็ก การใช้เครื่องกำบังขณะเชื่อมโลหะ เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันสารเคมีกระเด็นเข้าตาได้ด้วย
นอกจากนี้ การสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพ ก็สามารถช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ต่อดวงตาได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าการสวมแว่นกันแดดจำเป็นเฉพาะผู้ที่ชอบเที่ยวทะเล หรือทำงานในที่แดดจัด ๆ เท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าคุณจะอยู่ในที่ร่ม รังสี UV ก็สามารถสะท้อนจากผิวน้ำ พื้นผิวของหาดทรายได้ แสงสะท้อนจากพื้นผิววัตถุเหล่านี้เป็นอันตรายต่อผิวกระจกตาดำ นอกจากนี้ แว่นกันแดดยังมีประโยชน์ในการป้องกัน ลม ฝุ่น ควัน ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาขาวได้อีกด้วย
ดังนั้น ควรเลือกแว่นกันแดดที่มีคุณภาพในการช่วยปกป้องทะนุถนอมสายตาของคุณ เพราะแว่นกันแดดราคาถูกเลนส์ต่าง ๆ จะไม่มีคุณภาพเพียงพอในการปกป้องแสงแดด เมื่อใส่ไปนานๆ อาจะทำให้ตาเมื่อยล้า และปวดแสบตาจนก่อปัญหากับสายตาได้ในที่สุด
3. วัยสูงอายุ เป็นวัยที่เริ่มมีการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงดวงตาด้วย สำหรับผู้สูงอายุแนะนำให้ตรวจเช็กสุขภาพตาประจำปี เพื่อตรวจวัดระดับสายตาที่เปลี่ยนแปลงจากสายตาสูงอายุ (หรือที่ทั่วไปเรียกว่าสายตายาว แต่อันที่จริงคือสายตายาวที่ระยะใกล้ ซึ่งในต่างประเทศเรียกว่า short arm syndrome) ควรได้รับการตรวจหาโรคต้อกระจก ตรวจเช็กความดันตาและขั้วประสาทตาเพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหินและตรวจจอประสาทตา เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจจอประสาทตาจากจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ร่วมไปกับการติดตามการรักษาจากอายุรแพทย์
วิธีการถนอมดวงตา
วันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะโค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตนหลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาทีพอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไปแถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน ท่าที่ 1 ครอบดวงตา โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี ท่าที่ 3 กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย ท่าที่ 4 กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก
อาหารเพื่อสุขภาพตา
เราจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพตา คือ สารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอเฟลโวนอยด์)
เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกต่าง ๆ ในร่างกายชุ่มชื้นด้วย
ลูทีน (Luteine) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ลูทีนและซีแซนทิน เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร ส่วนสารซีแซนทิน นอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ ปริมาณลูทิน 6 มก./วัน ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมถึงร้อยละ 50
ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายๆ สีเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากผลไม้จะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว
ไบโอเฟลโวนอยด์ พบได้ในบลูเบอร์รี่หรือบิลเบอร์รี่ องุ่นแดง ส้ม และเครนเบอร์รี่ ไบโอเฟลโวนอยด์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารแอนโธไซยานิติน ช่วยป้องกันเลนส์ตาและสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจน
สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ได้รับความนิยมสูงมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้น บิลเบอร์รี่ เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินทหารอากาศของอังกฤษสังเกตเห็นว่าการบริโภคแยมบิลเบอร์รี่ก่อนที่จะออกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานในที่มืดดีขึ้น
บิลเบอร์รี่ เป็นผลไม้สมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่พบพิษโดยผลจากการวิจัยต่างๆ ไม่พบผลข้างเคียง ดังนั้น นักวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการมีสุขภาพดีของมนุษย์ด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี
ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการใช้แว่นกันแดดที่สกัดกั้นสารยูวี เลิกสูบบุหรี่ และบริโภคผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และสารแอนโธไซยานิดินสูง การบริโภคผักและผลไม้วันละ 9 ส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทเสื่อม และเสริมสุขภาพด้านอื่นด้วยนะคะ